วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

WEEK 2 : Understanding and Managing Information Technologies

Mary Kay เป็นตัวอย่างบริษัทที่ใช้ระบบ IT อย่างครบวงจร  สมาชิกจะขายต้องสั่งของมา stock ไว้ก่อน ดังนั้นบริษัทจึงใช้ช่องทาง social media เพื่อสร้าง relationship กับลูกค้า เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยเรียกได้ว่าใช้ ระบบสารสนเทศ มาช่วยบริหารจัดการ

ดังนั้นถ้าใช้ IS จะสะดวกในการทำงานของทุกหน่วย
โดยคำที่เกี่ยวข้องกับ IT และ IS ได้แก่
Raw Data คือ ยังไม่มีความหมายในตัวมันเอง เช่น 2010
Information คือเมื่อผ่านกระบวนการ หรือบวกเพิ่มบางอย่างเข้าไปจะทำให้เข้าใจมากขึ้น ซึ่งมักจะผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ค.ศ.2010
Knowledge คือความรู้ที่ได้มาจาก information และ Raw Data ซึ่งเกิดจากการลองผิดลองถูก
ดังนั้น IS จึงสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นการได้มาของ Data ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร (หายาก)

Functional business process
ไม่ว่าจะการขาย การเงิน บัญชี HR ก็ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้วยกันทั้งสิ้น เช่น สั่งของ ผลิต/ เช็ค credit approve credit ออก invoice ส่งสินค้า

Level of  IS
-          Very large and special system ไว้สำหรับติดต่อทั้งองค์กรใหญ่ องค์กรเล็กทั่วโลก ซึ่งเป็นระบบที่ค่อนข้างใหญ่ เช่น Amadeus Saber ระบบจองตั๋วเครื่องบิน จองทัวร์
-          Global system >ติดต่อกับบริษัทในโลก
-          Interrogational system >ติดต่อกับบริษัทแม่ที่ต่างประเทศ
-          ERP จะสามารถ link กับ supplier และ/หรือ กับ ลูกค้า เช่น SAP Oracle
-          Functional and management systems พวกระบบสารสนเทศของหน่วนงานตัวเอง ไม่ได้เชื่อมกับฝ่ายอื่น เพราะบางทีข้อมูลมันเป็นความลับ หรือเพราะระบบที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่นมีราคาแพง
-          Transaction processing system (TPS) จะคอยดูแลและบันทึกการเปลี่ยนแปลงจาก point to point เช่น การซื้อสินค้า
-          IS ที่ช่วยเกี่ยวกับ Personal and productivity systems  เช่น โทรศัพท์มือถือ


ประเภทของ IS
TPS
เป็น basic ที่สุดที่ทุกองค์กรควรมี ไว้ใช้ดูข้อมูลในอดีตเพื่อใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ โดย TPS จะบันทึกข้อมูลที่เกิดขึ้นในองค์กรแล้วส่งไปให้ MIS ดังนั้นถ้าเกิดความผิดพลาดใน TPS ก็จะทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกโซ่ในหรือเรียกได้ว่า garbage in garbage out เช่น สรรพากรบันทึกการเก็บภาษีผิด ทำให้การวางแผนการใช้จ่าย (Budget) ผิดไป ดังนั้นต้องป้องกันให้ดี

Management info system (MIS)
ใช้กับผู้บริหารระดับกลาง ก็แค่จัดทำ report เพราะจะต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ เช่นยอดขาย forecast เพื่อการส่งเสริมยอดขาย วางกลยุทธ์ต่างๆ มันจะมี limit access เพื่อไม่ใช้อิสระมากเกินไป

Decision support systems (DSS)
 ใช้กับผู้บริหารระดับกลาง มักใช้กับการตัดสินใจที่ไม่สามารถประมวลได้ง่าย ต้องใช้ stat เข้ามาช่วย มักใช้กับ non-routine decision making  เช่น บริษัทเดินเรือ ต้องดูว่าจะต้องใช้เชื้อเพลิงเท่าไร จอดที่พอร์ตไหนบ้าง ต้องส่งของอย่างไร มีเส้นทางการขนส่งไงบ้างเพื่อทำให้ต้นทุนต่ำสุด

GDSS (Group Decision support systems)
ถ้าข้อมูลพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าจอ ที่มือถอืก็จะช่วยลดข้ออ้างการเข้าถึงข้อมูลได้ ทำให้ตัดสินใจดีขึ้น

Executive support systems
ใช้กับผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น โดยมักรวบรวมข้อมูลจากภายนอกองค์กรเข้ามาด้วย โดยระบบสามารถเปลี่ยนแปลง (มีdashboard) และเปรียบเทียบได้ตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้

ประเภทของ IS แบ่งตาม perspective
TPS
MIS and decision support
ESS

Relationship of sys to one another
TPS > สำคัญแรก
ESS > ได้มาจาก lower level

Enterprise applications
เกี่ยวข้องทั้งองค์กร ทุกระดับ

Enterprise systems
TPS > เฉพาะองค์กร
Supply chain mng > เกี่ยวข้องกับ Supplier ถ้าระบบดีจิงเราจะรู้ว่าสินค้าอยู่ที่ไหนๆ เลย เพราะมันสามารถ share ข้อมูลร่วมกันทั้ง order, production, inventory levels, delivery of production and services
CRM > เกี่ยวกับลูกค้า  โดยใช้สำหรับการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า พยายามรักษาลูกค้า ใช้ repurchase สร้างฐานลูกค้า
ERP > both supplier and customer


Software
= สร้างหรือซื้อ IS มาใช้ในองค์กร ดังนั้นจะใช้เมื่อไรก็ใช้ได้ แล้วก็ความปลอดภัยสูงกว่า 
= ใช้ IS ที่มีอยู่ใน internet (Software as a service) ข้อดีคือต้นทุนต่ำ ใช้ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องดูแลรักษา จ่ายเท่าที่ใช้ เช่น Amazon ยุ่งจริงๆก็ปลายปีอย่างเดียว

 Knowledge mng
เราจะต้องเก็บองค์ความรู้ไว้เพื่อจะมา share มาเก็บไว้ เพราะมันอยู่ในแต่ละคน ใน email ต่างๆ เพื่อจะสร้างให้เกิด wisdom เพราะว่าในแต่ละคนมีความรู้ที่เหนชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และ Tacit knowledge ซึ่งไม่แสดงออกมาให้เห็น ซึ่งส่วนนี้เก็บมาอยู่ในองค์กรได้ยาก เพราธรรมชาติมนุษย์ไม่อยาก share แล้วลด core competency ของตัวเอง

Intranets เป็นเทคโนโลยีที่เป็น network ซึ่งใช้ในองค์กรเท่านั้น โดยมีความปลอดภัยมากกว่า
Extranets คือ network ใช้เชื่อมต่อระหว่างองค์กร ก็ปลอดภัยกว่า internet โดยจะต้องมีการเช่าสัญญามาจากพวก กสท
Collaboration comm. Sys  ใช้สำหรับการ share ข้อมูลระหว่างกันไม่ว่าจะเป็น email IM(instant msg) cell phone smart phones social networking wikis(ร่วมกันเขียน) virtual world (โลกเสมอจริง) อย่างไรก็ตามต้องระวังการรั่วไหลของข้อมูล ดังนั้นถ้าจะทำก็จะมี Social network ขององค์กรเอง ไม่ share กับภายนอก
E-business (Electronic business) รวมถึง e-business
E-government เช่นการทำ passport ID card หรือแม้แต่การจ่ายภาษี 
Web2.0 (www version ที่2) คือ content ที่จะเกิดขึ้นใน web จะเกิดจากผู้ใช้ เช่น twitter facebook Youtube (interactive มากขึ้น) ไม่ใช้ว่า web จะเป็นแค่แหล่งข้อมูลเท่านั้นเหมือนเดิม และต่อไปคิดว่าจะมี web3.0 เช่นระบบที่สามารถติดต่อกันด้วยภาษาต่างกันแต่คุย,พิมพ์ผ่านเครื่องแปลเป็นอีกภาษาได้
 Emerging computing environment
-Web service ใช้ internet ในการให้บริการต่างๆ
-Software as a service
-Utility computing เชื่อว่า internet จะกลายเป็นสาธารณูปโภค
-Grid computing
-Secure,reliable,transacted web services
-Pervasive computing คือ ว่าเทคโนโลยีมันอยู่ทุกที่เช่น GPS ใช้ track เวลาขึ้น taxi
-Open source software ได้รับการพัฒนาโดยไม่ใช้เป็นบริษัทค้ากำไร บริษัทจะปล่อยแค่ไม่เต็มที่ ไม่เสถียร แถมแพงอีกต่างหาก ดังนั้น open source อย่าง programmer จึงช่วยกันสร้าง product ที่เสถียร และฟรี
-Vitualization การรวม server เข้าด้วยกัน ประหยัดกว่าและสะดวกด้วย

PRESENTATION
Electronic paper (E-paper)
แนวคิด – เดิมใช้กระดาษ ซึ่งราคาถูก อ่านได้จากหลายมุมสายตา แต่ใช้ซ้ำไม่ได้ เกิดขยะ ต่อมาเป็น computer เก็บข้อมูลได้ เปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่PC ย้ายลำบาก ใช้พลังงานสูง อ่านกลางแดไม่ได้ ต่อมา LCD อ่านกลางแดดได้ แต่ความละเอียดจะเหมาะสมเพียงค่าเดียว แถมแพงด้วย
จุดเด่น - อ่านได้เหมือน paper อ่านกลางแจ้งได้ มุมไหนๆก็อ่านได้ เปลี่ยนหน้าได้ตามปกติ เบาทนทาน โค้งงอได้
Update ได้เหมือน computer
กระบวนการ ใช้เม็ดพลาสติก แคปซูล โดยใช้แนวคิดประจุไฟฟ้าบวกลบ แสดงครั้งแรก tag ป้ายชื่อ บนกระดาษแข็ง ต่อมาก็ flexible มีสี แล้วก็ต่อไปคิดว่าจะสามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากขึ้น
Tablet PC
-คอมขนาดเล็ก พกพาสะดวก เชื่อมต่อ internet wifi ได้ ใช้ปากา นิ้วหรือเสียงสั่ง
-โดยพัฒนาการเริ่มจากคิดว่าจะใช้ปากกาออกคำสั่ง เพื่อ key ข้อมูลเข้าไป พัฒนาให้เล็กลง เช่น Palm pilot (แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะเทคโนโลยีดีเกินไป คนไม่ทัน)
-เดิมต้นทุนสูงกว่า laptop
- ที่เด่นสุดคือ ipad มันจะมาอยู่ในชีวิต เพราะเค้า design ไว้ว่าจะกินด้านสิ่งพิมพ์ทั้งหมด
-ระบบ android ของ google ก็พัฒนาขึ้นมาแข็งขันกับของ apple
-สามารถใช้กับ application ได้หลายแบบ ในธุรกิจ เช่น โรงพยาบาล ประกันภัย ซื้อขายหุ้น ธุรกิจกรถยนต์ ก็จะเป็นพวกการส่งเสริมการขาย

Green IT
= ผลกระทบ IT ต่อสื่งแวดล้อม
-          ใช้พลังงานสูงมาก
-          มลพิษจากการผลิต
-          ขยะ electronic

= ความหมาย คือการเลือกใช้ IT ในองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของธุรกิจ
= Trend มาแรง เห็นได้จาก พวกประหยัดพลังงาน ลดก๊าชเรือนกระจก
= ประโยชน์คือสร้างมูศลค่าให้กับตัวมันเอง สร้างความแตกต่าง ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ลดการใช้พลังงาน ทรัพยากร ส่งเสริมภาพลักษณ์ เช่น บริษัท KSC  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น